วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กินอาหารรสจัดจ้านช่วยต้านมะเร็งได้

ชี้กินอาหารรสจัดจ้านช่วยต้านมะเร็งได้ !?!
     อินดิเพนเดนต์ - พบสารประกอบในอาหารรสจัดจ้าน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนายารักษามะเร็งตัวใหม่ที่สามารถฆ่าเซลล์เนื้อ ร้ายโดยปราศจากผลข้างเคียง
      
        การทดลองใช้ capsaicin สารเคมีที่ทำให้พริกมีรสเผ็ดร้อน พบว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งรวมถึงมะเร็งตับอ่อน ที่เป็นหนึ่งในมะเร็งที่รักษายากที่สุด
      
        ดร.ทิโมที เบตส์ ผู้นำการวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม อังกฤษ เผยว่าทีมของเขาพบจุดตายของมะเร็งทุกประเภท เนื่องจากแคปไซซินพุ่งเป้าทำลายแหล่งพลังงานของเซลล์มะเร็งโดยตรง
      
        การค้นพบนี้อาจนำไปสู่การผลิตยาที่สามารถรักษามะเร็งหลากหลายรูปแบบ โดยใช้ต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของต้นทุน 410 ล้านปอนด์ที่หมดไปกับการพัฒนายาที่ใช้รักษามะเร็งอยู่ขณะนี้ เนื่องจากคนนับล้านบริโภคสารแคปไซซินกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

        ทั้งนี้ แคปไซซินยังเป็นส่วนผสมสำคัญของครีมสำหรับนวดกล้ามเนื้อ รวมถึงยารักษาโรคสะเก็ดเงิน
      
        "นี่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆ และอาจนำมาอธิบายได้ว่า ทำไมคนที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกและอินเดีย ที่ชอบกินอาหารรสจัด จึงมีแนวโน้มเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนในโลกตะวันตก ดูเหมือนเราจะค้นพบจุดอ่อนสำคัญของเซลล์มะเร็งทั้งหมด เพราะแคปไซซินมุ่งตรงไปกำจัดเซลล์มะเร็ง นำไปสู่ความเป็นไปได้ในการพัฒนายาจากสารชนิดนี้ ซึ่งสามารถฆ่าเนื้อร้ายโดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วย" ดร.เบตส์ร่ายยาว
      
        แคปไซซินจะโจมตี mitochondria ในเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่สร้างสารให้พลังงานสูงในร่างกายที่ชื่อว่า ATP (Adenosine Triophosphate) โดยแคปไซซินจะเกาะติดอยูกับโปรตีนในไมโตคอนเดรียของเซลล์มะเร็ง และทำให้เซลล์ดังกล่าวตายโดยไม่ทำลายเซลล์ดีที่อยู่รายรอบ


        นักวิจัยทดลองสารชนิดนี้กับเซลล์มะเร็งปอดในคน ซึ่งถือเป็นบททดสอบมาตรฐานสำหรับยาต้านมะเร็ง และให้ผลในการกำจัดเซลล์มะเร็งอย่างน่าตื่นเต้น การทดสอบกับเซลล์มะเร็งตับอ่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่รักษายากที่สุด และมีอัตรารอดชีวิตนาน 5 ปีไม่ถึง 1 % นั้น ได้ผลดีในระดับเดียวกัน


       ดร.เบตส์สำทับว่า การที่แคปไซซิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสารประกอบในอาหารที่ชื่อว่า vanilloids เป็นส่วนประกอบที่พบได้ทั่วไปในอาหารของหลายๆ ประเทศ จะช่วยลดอุปสรรคทางกฎระเบียบที่ยาต้านมะเร็งชนิดใหม่ต้องเผชิญ โดยขณะนี้ ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมกำลังมองหาหุ้นส่วนทางอุตสาหกรรม เพื่อเริ่มการทดลองสารแคปไซซินกับคนไข้จริง
      
        อนึ่ง นักวิจัยทีมนี้ยังพบว่า การใช้ยาต้านซึมเศร้า chlorimipramine สามารถทำลายเนื้อร้ายในระดับที่น่าพอใจ
      
        กระนั้น โจเซฟิน เคอริโด เจ้าหน้าที่ข้อมูลมะเร็งของแคนเซอร์ รีเสิร์ช ยูเค ตั้งข้อสังเกตว่า ผลวิจัยของนอตติงแฮมไม่ได้บ่งชี้ว่า การกินพริกไทยมากๆ จะช่วยป้องกันหรือรักษามะเร็งได้ เนื่องจากผลการทดลองแสดงให้เห็นเพียงว่า สารสกัดจากพริกไทยสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งที่เพาะเลี้ยงในห้องทดลองเท่านั้น แต่ยังไม่มีการทดลองว่าสารดังกล่าวปลอดภัยและได้ผลกับคนหรือไม่


แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

ระวัง ! เชื้อโรคตัวร้ายในที่สาธารณะ

ระวัง ! เชื้อโรคตัวร้ายในที่สาธารณะ/ผศ.นพ.ถนอมศักดิ์ อเนกธนานนท์
   คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช
      
       ผศ.นพ.ถนอมศักดิ์ อเนกธนานนท์
       แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
      
       เมื่อคุณออกมานอกบ้าน นอกจากจะต้องเผชิญกับมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นควัน ท่อไอเสียรถยนต์ และสารเคมีที่ลอยล่องในอากาศแล้ว คุณอาจเจอกับความสกปรกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจากสิ่งรอบ ๆ ตัว
      
       ตัวอย่างที่เด่นชัด ซึ่งรวมมิตรยอดฮิตของเจ้าเชื้อโรค ได้แก่ โทรศัพท์สาธารณะและสุขาสาธารณะ
      
       มาดูกันครับว่าเจ้าวายร้ายเหล่านี้ทำร้ายท่านได้อย่างไร
      

      1.โทรศัพท์สาธารณะ       เป็นแหล่งรวมสารพัดเชื้อโรคที่คุณสามารถติดติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง เช่น
      
  • เชื้อ โรคหวัดทั้งหลายซึ่งเป็นเชื้อไวรัส: น้ำมูกของผู้ป่วยที่เป็นโรคหวัดไปติดอยู่กับตัวเครื่องรับโทรศัพท์หรือ บริเวณรอบ ๆ ตู้โทรศัพท์ หากเชื้อเหล่านี้ยังมีชีวิตรอดอยู่หลายชั่วโมง และมีผู้ไปสัมผัสจับต้องสารคัดหลั่ง ดังกล่าวแล้วนำมาป้ายโดนจมูกก็มีโอกาสติดเชื้อหวัดได้
      
  • วัณโรค จะไม่ติดจากการสัมผัสในการใช้โทรศัพท์ แต่จะติดเชื้อได้จากการที่บุคคลที่เป็นวัณโรคไอ จาม แล้วบุคคลอื่นได้รับเชื้อโดยการสูดหายใจเข้าไปโดยตรง
      
      
  • เชื้อ เริม ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง ถ้าผู้ป่วยเริมมีแผลอยู่แล้ว มือที่สัมผัสแผลเริมโดยไม่ได้ล้างแล้วไปใช้โทรศัพท์ เมื่อคนใช้โทรศัพท์ต่อไปจับต้องเชื้อไวรัส แล้วใช้มือขยี้ตาหรือป้ายโดนปาก โดนน้ำลายก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเหล่านี้ได้
      
      
  • หูด เป็นเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง
       โอกาสที่จะได้รับเชื้อ

        จะเห็นว่ามีเชื้อโรคหลากหลายชนิดที่อยู่ในโทรศัพท์สาธารณะ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะการติดเชื้อไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อว่ามีมากหรือน้อย และเชื้อที่อยู่ในบริเวณนั้นตายหรือยัง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อจากการใช้โทรศัพท์สาธารณะ ส่วนใหญ่คนที่เป็นไข้หวัดมักจะติดจากบุคคลอื่นที่เป็นหวัดอยู่แล้ว

       การป้องกัน
       - ระหว่างใช้โทรศัพท์อย่าใช้มือป้ายตา ป้ายปาก ป้ายจมูก
       - ระวัง ไม่นำกระบอกโทรศัพท์มาแนบปากจนเกินไป
       - ให้รีบล้างมือทันทีหลังจากใช้โทรศัพท์แล้ว เพราะเชื้อบางอย่างเมื่อออกมาจากตัวผู้ป่วยแล้วยังอยู่ได้หลายชั่วโมงหรือเป็นวัน

       2. ห้องน้ำสาธารณะ

       ห้องน้ำสาธารณะที่มีทั่วไปในกรุงเทพฯ หลาย ๆ แห่ง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสะอาด และเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคนานาชนิด เช่น เริม ซึ่งพิสูจน์ยากว่าติดต่อจากการใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ เพราะโรคนี้จะติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ ถ้าผู้ใช้บริการห้องน้ำสาธารณะมีแผลเริมอยู่ และมือที่จับต้องแผลเริมไปจับก๊อกน้ำหรือลูกบิดประตู เมื่ออีกคนเข้าไปใช้ต่อทันทีก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้ ถ้ามือที่สัมผัสถูกเชื้อเริมที่ก๊อกน้ำหรือลูกบิดประตูมาถูกตา จมูก หรือปาก ฉะนั้นผู้ใช้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย
      
       เชื้อโรคอื่น ๆ เช่น อหิวาตกโรคหรือไข้รากสาด ถ้าคนที่เข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระ แล้วไม่ได้ล้างมือให้สะอาด มีอุจจาระปนเปื้อนบริเวณมือ เมื่อมือไปจับก๊อกน้ำและจับลูกบิด คนที่ไปจับต่อแล้วไปสัมผัสโดนปากหรือน้ำลายก็มีโอกาสได้รับเชื้อเช่นกัน
      
       อย่างไรก็ตาม ยังมีแหล่งรวมเชื้อโรคอีกมากที่ต้องระมัดระวัง เช่น ในรถสาธารณะ สถานบันเทิงต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคชนิดไหน ก็ไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายคุณได้ง่าย ๆ เพียงแต่ให้ความสำคัญและใส่ใจกับสุขอนามัยตนเอง รู้จักล้างมือ และชำระล้างสิ่งสกปรกก่อนที่จะมาสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขยี้ตา หรือจับปาก จับจมูก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้มากแล้วครับ


แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์